วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

การขึ้นครองราชย์ของยะซิด

การขึ้นครองราชย์ของยะซิด
เมื่อยะซิด บิน มุอาวิยะฮ์ขึ้นครองราชย์ หลักการของอิสลามก็พังทะลายลง การแต่งตั้งยะซิดเป็นกษัตริย์นั้นแน่นอนย่อมต้องมีผู้คัดค้าน เมื่อมุอาวิยะฮ์สิ้นชีวิตแล้ว บุตรชายของท่านเคาะลีฟะฮ์อบูบักรฺและท่านอุมัรยอมทำตามคำสั่งของยะซิด แต่อับดุลลอฮ์บินซุบัยร์ ซึ่งเรียกร้องว่า ตนควรจะได้เป็นเคาะลีฟะฮ์ และหุสัยน์ซึ่งมีสิทธิ์ตามกฏหมายที่จะได้เป็นเคาะลีฟะฮ์ ตามที่บ่งบอกไว้ในสนธิสัญาระหว่างมุอาวิยะฮ์กับท่านฮะซัน ย่อมไม่ยอมให้สัตย์ปฏิญาณรับยะซิดเป็นกษัตริย์ ทั้งสองคนจึงหนีไปอยู่ที่มักกะฮ์ หุซัยน์นั้นเป็นคนที่เที่ยงธรรม ซื่อตรง จริงใจ และกล้าหาญใจบุญ มีคุณธรรมสูงส่ง จึงไม่ยอมก้มศรีษะให้แก่ยะซิด ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอย่างต่ำช้าและมักมากในกาม
เจ้าครองแคว้นของยะซิดได้ทำการทารุณข่มเหงราษฏรที่คูฟะฮ์ ประชาชนที่นั่นจึงลุกขึ้นต่อต้านเขาและเชิญให้หุสัยน์มาช่วย เพื่อนๆของหุสัยน์รู้จักนิสัยของพวกอิรักดี จึงเตือนหุสัยน์ว่าอย่าไว้ใจชาวคูฟะฮ์ แต่ลูกพี่ลูกน้องของหุสัยน์ได้ส่งสาส์นมาเชิญหุสัยน์ไปที่นั่นเพราะพวกชาวคูฟะฮ์ได้สัญญาว่าจะเป็นฝ่ายท่าน ในระหว่างนั้น อุบัยดุลลอฮ์ บิน ซิยาด ซึ่งเป็นผู้ครองแคว้นอิรักในขณะนั้น ได้ฆ่าชาวมุสลิมตายเป็นจำนวนมาก หุสัยน์ได้พาครอบครัวและผู้ติดตามจำนวนหนึ่งเดินทางมายังคูฟะฮ์ ในระหว่างทางท่านได้ข่าวที่น่าเศร้านั้น แต่ตัดสินใจไม่ตกว่าจะทำอย่างไร จึงตัดสินใจเดินทางต่อไป
แต่ยังไม่ทันได้ไปไกลก็ประจันหน้ากับกองทัพของชาวคูฟะฮ์ซึ่งมีชาวอาหรับเผ่าตะมีมเป็นแม่ทัพ และไม่ยอมให้หุสัยน์ผ่านไป คณะของหุสัยน์จึงต้องอ้อมไปทางขวาโดยเดินทางไปตามฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส และตั้งค่ายพักอยู่ในทุ่งกัรบาลาบนฝั่งแม่น้ำนั้น ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองคูฟะฮ์เพียง 25 ไมล์ อุบัยดุลลอฮ์ได้ยกทัพม้าจำนวน 4,000 มาขู่เข็ญให้หุสัยน์ยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข เขาได้สั่งให้กั้นทางน้ำไหลเพื่อทำให้คณะของหุสัยน์ไม่มีน้ำกิน แต่หุสัยน์ก็ยังยืนหยัดอย่างมั่นคง ครั้งแรกท่านขอประณีประนอม แต่เมื่อเห็นไม่มีทางจะประนีประนอมได้ ท่านก็ตัดสินใจที่จะต่อสู้จนถึงที่สุด
เหตุการณ์ที่กัรบาลา (Karbala)
ในวันที่ 10 ตุลาคม คศ.680 ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันที่ทุ่งกัรบาลา อุมัรบินซารเป็นแม่ทัพของฝ่ายศัตรู หุสัยน์ได้ขอร้องให้ฝ่ายตรงข้ามมีความเมตตาต่อสตรีและเด็กๆที่ไม่มีทางสู้ และขอเข้าพบยะซีดเพื่อเจรจากับท่าน แต่อุมัรไม่ยอมฟังเขาสั่งทหารให้จับหุสัยน์ให้ได้ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย หุสัยน์ต้องการส่งครอบครัวและญาติๆกลับไป แต่ไม่มีใครยอมจากเขาไป หุสัยน์จึงจำต้องต่อสู้กับกองทัพใหญ่ท่ามกลางเสียงร้องระงมของผู้หญิงและเด็ก อะลี ลูกน้อยของหุสัยน์กำลังจับไข้ก็ไม่มีน้ำดื่มแม้แต่หยดเดียว กอซิมหลานชายของหุสัยน์ถูกฆ่าตายภายในอ้อมแขนของท่านเป็นคนแรก ต่อไปลูกหลานญาติพี่น้องของท่านก็ถูกฝ่ายศัตรูฆ่าตายไปทีละคนๆ หุสัยน์ซมซานอุ้มอะลีไปหาน้ำดื่มที่ฝั่งแม่น้ำเพราะกระหายน้ำ แต่ฝ่ายศัตรูก็ใช้ลูกธนูยิงกราดไล่เขา หุสัยน์วิ่งกลับมาที่ค่ายพักและทรุดตัวลงนั่ง ผู้หญิงคนหนึ่งส่งน้ำให้ท่านดื่ม ในขณะที่ท่านอ้าปากขึ้นจะดื่มน้ำ ท่านก็ถูกหอกซัดเข้าทะลุปาก หุสัยน์ล้มลงกับพื้น ฝ่ายศัตรูทะยานเข้าตัดศรีษะของท่านและฟันร่างของท่านยับเยิน สมาชิกที่เป็นผู้ชายในคณะของท่านก็ถูกฆ่าตายหมดทุกคน คงเหลือแต่เด็กน้อยอะลีซึ่งกำลังป่วยอยู่ ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นไซนุ้ลอาบีดีน พวกผู้หญิงพร้อมทั้งเด็กน้อยอะลีถูกส่งตัวไปที่ดามัสกัส เมื่อยะซีดเห็นภาพที่น่าเศร้าเช่นนั้น ก็ได้จัดการส่งคนเหล่านั้นกลับไปบ้านของพวกเขาโดยเร็ว
เหตุการณ์ที่กัรบาลานี้ไม่เพียงแต่ทำลายเคาะลีฟะฮ์ที่ถูกต้องเสียเท่านั้น แต่ยังได้ทำลายความหวังที่จะมีความสามัคคีในหมู่มุสลิมลงด้วย คือได้เกิดมุสลิมฝ่ายชีอะฮ์ขึ้น แยกจากมุสลิมกลุ่มเดิมคือซุนนี และถือว่ามุสลิมซุนนีเป็นศัตรูของพวกเขาด้วย ความรู้สึกเป็นปรปักษ์นี้คงดำเนินต่อมาอีกช้านานจนถึงปัจจุบันนี้ ความแตกแยกกันนี้เป็นการทำลายความก้าวหน้าและความรุ่งเรืองของมุสลิมลงไป
ประชาชนที่มักกะฮ์และมะดีนะฮ์ได้ข่าวนี้ด้วยความตระหนกตกใจอย่างใหญ่หลวง ประชาชนเมืองคูฟะฮ์ซึ่งเคยเป็นฝ่ายยะซิดก็ยืนหยัดขึ้นต่อต้านท่าน พวกคอรีญีย์โดยเฉพาะที่เมืองบัศเราะฮ์ได้โอกาสที่จะลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อต่อต้านยะซิด แต่ทว่าผู้ที่เข้าโจมตีเคาะลีฟะฮ์ผู้นี้เป็นคนแรกก็คืออับดุลลอฮ์ บิน ซุบัยร์
อับดุลลออืได้ปลุกปั่นให้ชาวมักกะฮ์ให้ต่อสู้กับยะซิด ตัวเขาเองก็ถือโอกาสตั้งตัวเป็นเคาะลีฟะฮ์เมื่อข่าวนี้รู้ไปถึงหูยะซิด ท่านก็ได้ส่งผู้แทนมาเชิญอับดุลลอฮ์จากมักกะฮ์ไปยังดามัสกัส แต่เขาก็ไม่ยอมไปและซ้ำยังจับผู้เป็นตัวแทนยะซิดขังเสียด้วย ในระหว่างนั้นในมะดีนะฮ์ก็เกิดจลาจลวุ่นวายขึ้น ชาวมะดีนะฮ์เรียกร้องให้ยะซิดออกจากตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์เสีย และได้ขับไล่ผู้ครองมะดีนะฮ์ออกจากเมือง ยะซิดโกรธจึงส่งกองทัพใหญ่ซึ่งประกอบด้วยทหารรับจ้างชาวซีเรียไปปราบ กองทัพทั้งสองฝ่ายพบกันที่สถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า ฮัรเราะฮ์ ฝ่ายมะดีนะฮ์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เมืองมะดีนะฮ์ถูกทหารฝ่ายข้าศึกทำลายยับเยิน
หลังจากปราบมะดีนะฮ์ได้แล้ว กองทัพของยะซิดได้ตรงไปยังมักกะฮ์ และเข้าล้อมเมืองไว้สองเดือน แต่ในระยะนั้นข่าวการสิ้นชีพของยะซิดก็มาถึง ทหารจึงรีบยกทัพกลับดามัสกัส มักกะฮ์จึงพ้นจากความเสียหายไปได้ ยะซิดเป็นคนมีนัสัยโหดร้าย ขี้เมาและมักมากในกาม ชอบละเมิดหลักการของศาสนา ท่านอยู่ในราชสมบัติได้สามปีกับหกเดือน แต่ไม่ได้สร้างความก้าวหน้าอะไรแก่มุสลิมเลย
มุอาวิยะฮ์ที่ 2
หลังจากยะซิดสิ้นพระชนม์ มุอาวิยะฮ์ที่ 2 โอรสของยะซิดได้ครองตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ต่อมา แต่เมื่ออยู่ในตำแหน่งได้สองสามเดือน ก็สละตำแหน่งและสิ้นชีวิตไปในเวลาไม่นาน
เมื่อมุอาวิยะฮ์ที่ 2 สิ้นชีพลง ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ก็แตกสลายไป ซุบัยร์ประกาศตัวเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่มะดีนะฮ์และมักกะฮ์ ต่อมาอีกสองสามเดือนก็เข้าครองอียิปต์และซีเรียส่วนใหญ่ได้ รวมทั้งคูฟะฮ์ด้วย ครั้งนั้นอาณาจักรอิสลามมีเคาะลีฟะฮ์ซ้อนกันขึ้นสองท่านคือที่ดามัสกัสท่านหนึ่ง และมะดีนะฮ์-มักกะฮ์อีกท่านหนึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น